| 
 
 
        จากการเติบโตของสภาพทางเศรษฐกิจในปัจจุบันเป็นผลทำให้ธุรกิจการขนส่งพืชผลการเกษตรกรรมการคมนาคมประเภทรถโดยสารได้เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังนั้นยางรถยนต์จึงมีบทบาทที่สำคัญยิ่งสำหรับการบรรทุก  และการโดยสาร      จากผลการสำรวจพบว่าคุณสมบัติของยางที่ผู้ใช้ต้องการ คือ มีอายุการใช้งานที่ยาวนานและทนทานต่อทุกสภาพการใช้งานฉะนั้นเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ จึงขอแนะนำให้ท่าน ผู้ใช้ยางได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลรักษายางรถบรรทุกและรถโดยสารว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะทำให้สามารถใช้งานได้ยาวนานคุ้มค่าเงินที่ได้จ่ายไป  |                                                                                                        
                                                                                                                 
   |  
 
 
    
  1.  เลือกใช้ขนาด  โครงสร้าง  ดอกยาง  และความลึกของร่องดอกยางให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งาน
        ใช้ยางใน ยางรอง ที่มีขนาดและประเภทเดียวกับยางนอก  บางครั้งผู้ใช้บางรายนำเอายางใน   ที่มีขนาดเล็กกว่ามาใส่กับยางนอกที่ใหญ่กว่า  เช่น  ยางในขนาด 9.00 – 20  ใช้กับยางนอกขนาด 10.00 – 20  เมื่อสูบลมก็จะทำให้ยางในที่มีเนื้อยางบางอยู่แล้ว  มีการขยายตัวมากกว่าปกติทำให้เสียหายได้ง่าย
        โครงสร้างและดอกยาง  ต้องเลือกให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งานนั้นๆ  ต้องคำนึงถึงความลึกของร่อง ดอกยางที่แตกต่างกันด้วย  ถึงแม้จะเป็นแบบเดียวกัน  ฉะนั้นเพื่อความเหมาะสมต่อสภาพการใช้งานที่แตกต่างกัน   ร่องดอกยางจึงมีทั้งแบบตื้นแบบลึกและแบบลึกเป็นพิเศษ
        ทุกๆครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่  ถ้าเป็นยางที่ใช้ยางในควรเปลี่ยนยางในยางรองใหม่ทั้งหมด
        ใช้กระทะล้อที่มีขนาดเหมาะสมกับยาง
        วาล์วเติมลมยางควรมีฝาครอบปิดอยู่เสมอ  เพื่อป้องกันฝุ่น  เศษหิน  กรวด  ดิน  ที่จะเข้าไปแทรกทำให้ลมรั่วซึมได้
 
  2. การบรรทุกน้ำหนัก      การบรรทุกน้ำหนักเกินอัตรา  จะทำให้ดอกยางสึกหรออย่างรวดเร็ว , โครงผ้าใบบริเวณขอบยางหักและยางบวมล่อนระเบิดได้ง่าย
 
  
 
  
 
       การบรรทุกสิง่ของในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง จะทำให้ยางเสียหายก่อนกำหนด
  
 
  1.    การใช้ความเร็ว     การขับรถด้วยความเร็วสูง  ทำให้เกิดปัญหาดังต่อไปนี้       ระยะทางในการเบรคหยุดรถเพิ่มมากขึ้น       ดอกยางสึกหรอเร็ว       เกิดความร้อนในยางเพิ่มมากขึ้น       ยางเกิดบวมล่อนและระเบิดได้ง่าย       สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
  2.    ศูนย์ล้อ
      โดยปกติแล้วล้อรถจะไม่ได้ตั้งตรงตามแนวดิ่งหรือขนานกับตัวรถ  แต่จะเอียงทำมุมกับตัวรถ  เพื่อช่วยให้รถวิ่งตรงทิศทางและสะดวกในการบังคับเลี้ยว  ดังนั้น  มุมล้อหรือศูนย์ล้อจะต้องถูกต้องตามค่าที่กำหนด  จึงควรตรวจสอบศูนย์ล้อและช่วงล่างทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่  และทุกๆ  6  เดือน     นอกจากนี้หากศูนย์ล้อผิดปกติจะทำให้ยางสึกไม่เรียบ  สึกเร็ว  และทำให้ควบคุมพวงมาลัยยาก  รถจะเสียการทรงตัวได้ง่าย  ปกติแล้วปัญหาศูนย์ล้อจะเกิดกับล้อคู่หน้ามากกว่าล้อคู่หลัง โท-อิน ด้านหน้าของยางหุบเข้าหา กึ่งกลางแนวรถ
   |  
  | โท-เอาท์ ด้านข้างของยางกางออก กึ่งกลางแนวรถ
  |  ถ้าค่ามุมโทผิดพลาดจะทำให้ยางสึกเร็วและสึกบริเวณไหล่ยางเพียงด้านเดียว  (ลักษณะปลายดอกยางแต่ละดอกตวัดคล้ายขนนก)   |  แคมเบอร์ – บวก ด้านล่างของยางหุบเข้าหา กึ่งกลางแนวรถ
  |  
  | แคมเบอร์ – ลบ ด้านล่างของยางกางออก จากกึ่งกลางแนวรถ
  |  | ถ้าค่ามุมแคมเบอร์ผิดพลาดจะทำให้ยางสึกบริเวณไหล่ยางเพียงด้านเดียว |   
  | ถ้าเพลาล้อไม่ได้ศูนย์  ลูกหมากคันชักคันส่งหลวม  ลูกปืนล้อหรือสลักล้อหลวม จะทำให้ดอกยางสึกเป็นบั้งๆหรือจ้ำๆ |   |  แคสเตอร์บวก  คือ   มุมที่ลูกหมากปืนนกบน หรือด้านบนของช็อคอัพ เอียงออกจากแนวดิ่ง ไปด้านหลังรถ |  
  | แคสเตอร์ลบ  คือ   การที่แนวจุดหมุนล้อด้านล่าง อยู่แนวดิ่ง   ด้านบนของแนวจุดหมุน อยู่หน้าเส้นแนวดิ่ง  |  
  มุมแคสเตอร์  เป็นมุมที่มองจากด้านข้างรถ  มีทั้งล้อหน้าและล้อหลัง  เป็นมุมที่ช่วยบังคับให้รถวิ่งอยู่บนแนวตรงตลอด  และจะคืนมุมล้อให้กลับมาอยู่ในแนวตรงหลังจากการเลี้ยว  โดยการคืนมุมล้อเร็วเกินไปหรือช้าเกินไป  จะทำให้ยางเกิดการสึกหรอขึ้นได้ *ถ้าค่ามุมแคสเตอร์ผิดปกติ  มีผลทำให้การบังคับพวกมาลัยผิดปกติและดอกยางสึกหรอผิดปกติ
  5.  การใช้ยางล้อคู่     ในกรณีที่ใช้ยางล้อคู่  ควรใช้ยางที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหรือเส้นรอบวงยางเท่ากัน     ไม่ควรใช้ยางที่มีความสูงของยางแตกต่างกัน  แต่ถ้าจำเป็นก็ควรปฏิบัติตามตัวอย่างต่อไปนี้     ยางขนาด 9.00 ขึ้นไป  อนุโลมให้ความสูงของยางต่างกันได้ไม่เกิน 8 มม.  หากเป็นยางโครงสร้างผ้าใบธรรมดาสามารถแตกต่างกันได้ถึง 12 มม.  ในยางขนาด 8.25 ลงมา  ถ้าเป็นยางเรเดียลอนุโลมให้มีความสูงของยางแตกต่างกันได้ 6 มม.  หากเป็นยางผ้าใบธรรมดาให้แตกต่างกันได้ 8 มม.     อย่างไรก็ตามยางที่มีความสูงไม่เท่ากัน  เมื่อนำมาใช้คู่กัน  ยางเส้นที่สูงกว่าจะรับน้ำหนักมากกว่า  เป็นผลให้ยางชำรุดเสียหายง่าย     กรณีใช้ยางที่มีความสูงของยางไม่เท่ากันในเพลาเดียวกัน  ยางแต่ละด้านจะทำให้เสียการทรงตัว  พวงมาลัยจะฝืนหรือหนักไปด้านล้อที่เล็กกว่า  หากใช้เป็นเวลานานจะส่งผลเสียถึงระบบรองรับ (chassis) ของรถคันนั้นด้วย
  
  | กรณีใช้ล้อคู่  ไม่ควรใช้ยางที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางต่างกัน แต่ถ้าจำเป็นก็ควรปฏิบัติตามตัวอย่างข้างล่าง ขนาดยาง    ความแตกต่างของเส้นผ่าศูนย์กลาง 9.00 ขึ้นไป    8 มม. (ยางผ้าใบธรรมดา 12 มม.) 8.25 ลงมา    6 มม. (ยางผ้าใบธรรมดา 8 มม.) |   |  
  
 
  6. การสลับตำแหน่งยาง
      เมื่อใช้ยางใหม่ไปประมาณ 5,000 – 10,000 กม.  จำเป็นจะต้องสลับตำแหน่งของยาง  เพื่อให้ได้รับประโยนช์สูงสุดจากการใช้ยาง  การสลับตำแหน่งที่ถูกต้องจะช่วยยืดอายุของยาง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งล้อหน้า  จะเกิดการสึกผิดปกติของดอกยางง่ายที่สุด  การสลับยางช่วยให้ยางสึกเรียบและเท่าเทียมกัน     การสลับยางก็เพื่อให้ยางได้หมุนกลับทิศทางกัน  เพื่อแก้ปัญหาการสึกไม่เรียบนั่นเอง  ยางที่ใช้ในล้อหลังซึ่งเน้นแรงกรุย (ล้อขับเคลื่อน)  เมื่อเปลี่ยนไปใช้ล้อหน้าจะทำให้อายุยางยาวขึ้น
 
  
 
  7. ลมยาง
  การสูบลมยางถือว่าเป็นปัจจัยหลักในการดูแลบำรุงรักษายางรถยนต์  ถ้าขาดการดูแลที่ดี  ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นมีมากมายดังต่อไปนี้
      ถ้าสูบลมน้อยไป  ยางจะบวมล่อนได้ง่าย  อายุการใช้งานลดลง  ดอกยางสึกผิดปกติ  คืออาจจะสึกที่ขอบยางข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง  สึกที่ไหล่ยางหรือสึกที่ปลายดอก  มีความฝืดที่ผิวสัมผัสมาก  ซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่าปกติ
      ถ้าสูบลมมากเกินไป  เมื่อได้รับแรงกระแทกจะระเบิดได้ง่าย  อายุการใช้งานลดลง  ดอกยางโดยเฉพาะกลางหน้ายางจะสึกหรอมาก  ถ่ายเทการสั่นสะเทือนหรือการกระแทกขึ้นสู่ตัวรถได้มาก  ขาดความนุ่มนวล
      การสูบลมของยางล้อคู่  จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสูบลมและรักษาระดับแรงดันลมในล้อคู่ให้เท่ากันตลอดเวลา  หาไม่แล้วยางเส้นที่มีแรงงดันมากจะรับน้ำหนักมาก  ชำรุดเสียหายง่ายสึกเร็วผิดปกติ  เส้นที่สูบลมน้อยจะรับน้ำหนักน้อย  การสึกของยางจะไม่เรียบเสมอกันหรือสึกอย่างผิดปกติ
  การรักษา ความดันยางให้ถูกต้อง
 :  ไม่ควรปรับความดันลมขณะยางร้อน เนื่องจากความร้อนทำให้อากาศขยายตัว :  ยางเรเดียลต้องเติมลมมากกว่ายางผ้าใบ  
 
     ความแตกต่างของแรงดันลมเพียง 1 กก./ซม.2 หรือ 14 ปอนด์/ตร.นิ้ว  จะรับน้ำหนักต่างกันถึง 400 กก.  ถ้าแรงดันลมต่างกัน 2 กก./ซม.2 หรือ 28 ปอนด์/ตร.นิ้ว  จะรับน้ำหนักต่างกันถึง 800 กก.  ในกรณีแรงดันลมต่างกัน 2 กก./ซม.2 หรือ 28 ปอนด์/ตร.นิ้ว  ยางเส้นที่สูบลมมาก  จะมีอายุใช้งานเพียง  70 %  เส้นที่สูบลมอ่อน  จะมีอายุการใช้งานเหลือเพียง  45 %  การสูบลมให้เท่ากันจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง          เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องสูบลมให้พอดี  ตามเกณฑ์ที่โรงงานกำหนด  หรือพิจารณาให้สอดคล้องกับสภาพการใช้งาน  นอกจากต้องสูบลมให้ถูกต้องแล้วจะต้องมีการตั้งศูนย์ล้อ  ตั้งมุมของล้อหน้าให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดตามมาตราฐานของรถยี่ห้อนั้นๆอีกด้วย
      การตรวจเช็คลมยางควรตรวจเช็คในขณะที่ยางยังเย็นอยู่  และเพื่อให้ได้ค่าที่ถูกต้องควรสูบลมยางให้ได้ตามมารตรฐานที่บริษัทรถกำหนด
      นอกจากนี้ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเก็บยางไว้นานๆ  ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ยางสัมผัสกับความร้อน  แสงแดด  ลม  ฝน  ความชื้น  น้ำมัน  และสารเคมีต่างๆ  หากท่านสามารถปฏิบัติได้ตามนี้  อายุการใช้งานของยางก็จะยาวนานขึ้นทำให้ประหยัด  และเป็นการเพิ่มผลกำไรให้กับธุรกิจท่านอีกครั้งหนึ่ง 
 
 รอบรู้เรื่องลมยาง   เพื่อความปลอดภัยและยืดอายุการใช้งาน
 
  
  การดูแลตรวจสอบลมยางอย่างถูกต้องช่วยคุณได้
     1. ลดปัญหาการสึกไม่เรียบของหน้ายาง         
     2. ลดปัญหาความเสียหายของยาง         
     3. ยืดอายุการใช้งาน    4. ช่วยประหยัดน้ำมัน    5. ทำให้ยางยึดเกาะถนนอย่างเต็มประสิทธิภาพ 
 
 | ลมยางน้อยไป | ลมยางมากไป |   สิ้นเปลืองน้ำมัน
  เกิดความร้อนสูงบริเวณไหล่ยาง ทำให้เนื้อยางไหม้       และโครงสร้างยางแยกตัวออกจากกัน       ส่งผลให้ยางบวมล่อนและระเบิด อาจทำให้โครงยาง       บริเวณแก้มยางฉีกขาดหรือหักได้
  อายุยางลดลง  บริเวณไหล่ยางจะสึกหรอเร็วกว่าตอนกลางหน้ายาง |  เกิดการลื่นไถลได้ง่าย  เนื่องจากพื้นที่การยึดเกาะถนนลดลง
  โครงยางระเบิดได้ง่ายเมื่อได้รับแรงกระแทกหรือถูกตำ         เนื่องจากโครงยางเบ่งตัวเต็มที่  การยืดหยุ่นตัวได้น้อย
  อายุยางลดลง  เนื่องจากดอกยางจะสึกบริเวณตอนกลาง       มากกว่าส่วนอื่น
  ความนุ่มนวลในการขับขี่ลดลง |  
 
 
  |